25.11.53

เทศน์หลวงพ่อกล้วย วันเข้าพรรษา ปี 2553


เทศน์หลวงพ่อกล้วย
วันเข้าพรรษา ปี 2553 (27 กรกฎาคม พ.ศ.2553)
เจริญ ธรรมญาติโยมทุกคนทุกท่าน ขอให้ญาติโยมจงเจริญสติ สร้างความรู้ตัวให้มีให้เกิดขึ้นในกายของเรา ด้วยการสร้างความรู้สึกรับรู้การหายใจเข้าออกของเราให้ต่อเนื่อ งกัน นั่งตามสบายนะ วางกายให้สบาย วางใจให้สบาย ไม่ต้องพนมมือ ทำจิตของเราให้สงบ ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆลึกๆ การสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆและผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ กายของเราก็สบายขึ้นเยอะ ความรู้สึกรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่กระทบปลายจมูกของเรา มีความรู้สึกรับรู้อยู่ และก็รู้ให้ต่อเนื่อง เขาเรียกว่า “สติรู้กาย” เขาเรียกว่ารู้กาย ความรู้กาย อันนี้เป็นส่วนหนึ่งของกาย ถ้าต่อเนื่องก็จะรู้ลักษณะของจิต รู้ความปกติของจิตอยู่กลางใจของเรา ถ้าเราเจริญสติให้ต่อเนื่องตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ นี่แหละเขาเรียกว่าการเริ่ม เริ่มทำความเข้าใจ กับน้อมเข้าไปดูภายใน น้อมเข้าไปรู้ภายใน ความคิดที่เกิดจากตัวใจเขาเกิดส่งออกไปภายนอกได้อย่างไร เขาเริ่มเกิดอย่างไร เขาเริ่มก่อได้อย่างไร ความรู้สึกตัวเราสร้างขึ้นมา เราสร้างขึ้นมาให้ต่อเนื่องหรือไม่ ความคิดเก่าๆที่เกิดจากใจ เกิดจากอาการของใจนั้นมีอยู่ เราเคยชินกับความคิดเก่าๆ ก็เลยหลงอยู่ตรงนั้นอยู่ มันก็น่าหลงอยู่หรอก เพราะว่าตัวจิตกับอาการของจิต ความคิดเก่าๆนั้นเขามีมาไม่รู้กี่ชาติกี่กัปกี่กัลป์แล้ว เราจะมาพลิกมาหงายมาแยกแยะมารู้มาทำความเข้าใจ ต้องเป็นบุคคลที่มีความเพียร มีความขยันหมั่นเพียร สร้างตบะสร้างบารมี หมั่นขัดเกลา หมั่นละกิเลส ออกจากใจของเรา หมั่นหาเหตุหาผล ทำความเข้าใจให้รู้เหตุรู้ผล หมั่นพร่ำสอนใจของเรา จนใจของเรารับรู้เห็นตามความเป็นจริงนั่นแหละ เขาถึงจะปล่อยจะวางได้ ไม่ใช่ว่าเขาจะปล่อยจะวางได้ง่ายๆเหมือนกัน
แม้ ตั้งแต่เรื่องบุญเราอย่าเอาแค่การทำบุญ การให้ทาน เราอย่าเอาแค่มาวัดเราก็ได้บุญแล้ว มาวัดก็พยายามเข้าให้ถึงวัด พระพุทธองค์ท่านสอนเรื่องอะไร สอนเรื่องทุกข์ อะไรคือสาเหตุแห่งทุกข์ ลักษณะของความทุกข์คือความไม่เที่ยง การเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทุกคนก็ได้ประพฤติวัดปฏิบัติขัดเกลากันมา อย่าไปปิดกั้นตัวเอง ว่าไม่ได้ปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติกันมาแล้วแหละ แต่อยู่ในระดับของโลกียะ รู้จักผิดถูกชั่วดี รู้จักทำบุญให้ทาน ฝักใฝ่ในการทำบุญ อยากจะดับทุกข์อยากจะหลุดพ้น ตรงนี้แหละตรงอยากจะดับทุกข์อยากจะหลุดพ้นนี่แหละ การเจริญสติ ความหมายของการสร้างสติความรู้ตัว ส่วนมากก็ไปนึกเอาไปคิดเอาไปแสวงหาด้วย ตัวจิตไปแสวงหาเอาก็เลยไม่เจอ เราต้องสร้างความรู้ตัว พลั้งเผลอเราก็เริ่มขึ้นใหม่ พลั้งเผลอก็เริ่มขึ้นใหม่ เริ่มอยู่บ่อยๆ ส่วนบนส่วนสมอง ส่วนใจของเราเคลื่อนเข้าไปรวม ไปบงการส่วนสมองได้อย่างไร เขาไปร่วมกันได้อย่างไร บางทีก็มีความคิดที่เราไม่ได้ตั้งใจคิด (ไม่ได้เกิดจากตัวใจ) ผุดขึ้นมาแล้วตัวใจเข้าไปร่วมได้อย่างไร อันนี้เป็นของละเอียดจริงๆ ถ้าความรู้ตัวของเราไม่เข้มแข็งไม่ต่อเนื่อง ไม่แหลมคม ก็ยากที่จะเข้าใจนะ เราต้องพยายามสร้างให้ได้ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ตั้งแต่ยังไม่ลุกจากที่ จะลุกจะก้าวจะเดิน ความรู้สึกอยู่ที่การเดินบ้าง จะเข้าห้องส้วมห้องน้ำใจของเราเป็นอย่างไร ปกติดีอยู่หรือไม่ ส่วนมากมันก็คิดไปแล้ว เพราะว่าความเคยชิน รู้ อยู่ว่าความคิดมันเป็นทุกข์ ก็รู้อยู่แค่นั้น แต่การดับ การควบคุม การผืน การสังเกต การแยกแยะมันไม่มี มีตั้งแต่ไปคิดเอา ไปหาเหตุหาผลเอา เลยปิดบังอำพรางตัวเอง ตัวจิตก็ปิดบังอำพรางตัวจิตเหมือนกัน ความคิดก็มาปิดบังอำพรางตัวจิตอีก กายเนื้อก็มาปิดบังอำพรางตัวจิตอีก แม้แต่ความอยากจะรู้ธรรม มันก็ปิดบังเอาไว้อีก เราต้องสร้างความรู้สึกตัวให้ต่อเนื่อง และก็รู้อยู่กับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้แจ้ง รู้ต้นเหตุ ให้รู้ต้นเหตุเสียก่อน ส่วนมากจะไปเอากลางเหตุปลายเหตุ กลางเหตุปลายเหตุ และก็วิ่งตามความคิด วิ่งตามอารมณ์ คลายออกจากจิตของเราให้มันหมด ให้เหลือตั้งแต่ความว่าง ในความว่างนั่นแหละมีดวงจิตอยู่ จิตของเราก็อยู่กลางใจนั่นแหละ มันไม่อยู่ไหนหรอก เวลาตกใจมันตกใจอยู่ตรงไหน เวลาเกิดความอยากมันเริ่มก่อตัวอยู่ตรงไหน เวลาปรุงแต่งลักษณะอาการของการปรุงแต่ง มันเริ่มปรุงแต่งได้อย่างไร เพียงแค่ตัวจิตปรุงแต่ง กับอาการของจิตอีกมาปรุงแต่งจิตอีก บางทีก็ผสมโรงกับตัวปัญญาอีกส่งออกไปข้างนอก วิ่งออกไปข้างนอก ไม่จบสักที เราต้องให้จบข้างใน จบภายในก็จะล้น สติปัญญาก็จะล้นออกไปทำความเข้าใจกับโลกธรรมแปด ทำความเข้าใจกับสมมติ ใช้สมมติให้เกิดประโยชน์ อย่างน้อยๆก็คงจะดับทุกข์ได้ระดับหนึ่ง ถ้าความเพียรของเรามีเต็มเปี่ยม เราก็อาจจะดับทุกข์ได้เด็ดขาดในขณะที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เด็ดขาดทางด้านจิต แต่กายก็ยังเป็นก้อนทุกข์อยู่ เขาก็ยังกินอยู่ หลับนอน ขับถ่ายอยู่ เขายังทำหน้าที่ของเขาอยู่
กาย ไม่อยู่ในอำนาจของจิตนะ แต่ทุกคนตัวจิตไปยึดมั่นถือมั่นว่ากายเป็นตัวตนของเราจริงๆ ก็เป็นของเรานั่นแหละในทางสมมติ แต่ในหลักธรรมแล้วก็เป็นแค่เครื่องอยู่อาศัยของจิต เป็นคูหาเป็นเครื่องอยู่ของจิต จิตมาอาศัยกายนี้อยู่ ก็เลยมาหลงมายึด มาก่อภพก่อชาติ ภพมนุษย์ก็เกิดขึ้นมาแล้ว ชาติมนุษย์ก็เกิดขึ้นมาแล้ว ความชรา ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความชราคร่ำคร่า ก็ตามมา สักวันหนึ่งก็จะเข้าสู่หลักของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือความว่างเปล่า กลับคืนสู่สภาวะเดิมคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ถ้าเรามาหัดวิเคราะห์มาหัดจำแนกแจกแจง เราจะเห็นชัดเจนมากทีเดียว ส่วนมากก็จะมองเฉพาะในภาพรวม ขาดการจำแนกแจกแจง ก็เลยไม่เข้าใจตรงนี้กันเท่าไหร่ ก็เลยเข้าไม่ถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า
คำ สอนของพระพุทธเจ้า ท่านให้ทำความเข้าใจกับสมมติ ให้เคารพสมมติ ไม่ยึดติดสมมติ แล้วก็ทำหน้าที่ของสมมติให้ดี แล้วก็อาศัยกันอยู่ ถ้าถึงวาระเวลา ก็ต้องได้ทิ้งสมมติ แต่เราให้วางด้วยปัญญาเสียก่อน ความโลภเกิดขึ้นกับจิตของเรามากน้อยเท่าไหร่ ความโกรธเกิดขึ้นกับจิตของเรามากน้อยเท่าไหร่ ความโลภ ความโกรธ แต่ความหลงนี่มันคลายได้ยาก ถ้ากำลังสติไม่เพียงพอก็ยากอยู่ แต่การสร้างอานิสงส์สร้างบารมี การทำบุญให้ทาน ไปทำบุญที่โน่นบ้าง ไปทำบุญที่นี่บ้าง ไปปฏิบัติธรรมที่นู่นบ้างที่นี่บ้าง ก็พากายไปปฏิบัติ ก็เน้นลงอยู่ที่กายของเรานั่นแหละ ไม่ได้ไปอยู่ที่ไหนหรอก เป็นแค่เพียงอุบายหาแนวทางหาวิธีเท่านั้นเอง บุคคลที่เข้าใจแล้วว่าการเจริญสติ ความรู้สึกตัวอยู่กับปัจจุบันเป็นลักษณะอย่างนี้ ความรู้ตัวที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างนี้ เรารู้ตัวจากหนึ่งนาที สองนาที เป็นห้านาที สิบนาที ยี่สิบนาที เป็นชั่วโมง เป็นวันเป็นเดือน เป็นปี ถ้า เราแยกแยะได้ ตามดู ตามรู้ ตามเห็นได้ กำลังสติของเราก็จะพุ่งแรง ตามทำความเข้าใจ ละกิเลสหยาบ กิเลสละเอียด ออกจากใจของเรา ละความโลภ ละความโกรธ ละนิวรณ์ธรรมต่างๆ ออกจากใจของเรา ก็เข้าสู่ในหลักธรรมคือ การเข้าสู่วิปัสสนาญาณ วิปัสสนาภูมิ ละสักกายะทิฐิ ละความเห็นผิด ละอัตตาตัวตน ละทิฐิละมานะ ละศีลพรตปรามาศ ไม่ถืองมงาย มองเห็นเหตุเห็นผล รู้เห็นตามความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง หมดความสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีตั้งแต่เดินให้ถึงจุดหมายปลายทาง จิตเกิดกิเลส เราก็ดับกิเลส ละกิเลส ส่วนมากตัวจิตมันไปแสวงหาธรรม มันจะไปเจอได้ยังไง เอาตัวจิตไปข่มจิตมันจะไปนั่นได้ยังไง เราต้องสร้างความรู้ตัว ลักษณะของสติรู้ตัวอยู่ในปัจจุบัน เข้าไปดับ เข้าไปควบคุม มันสนุกออก ถ้าเรารู้เราเห็น เราทำความเข้าใจได้ เราจะโดนกิเลสตัวไหนมันเล่นงานเรา หรือว่าจิตจะเป็นทาสของกิเลส หาเหตุหาผล จนจิตยอมรับความเป็นจริง หมั่นพร่ำสอนจิตนี่แหละเขาเรียกว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ตนเป็นที่พึ่งของตน คือสติเป็นที่พึ่งของจิต ตนแรกคือตัวสติ ตนที่สองคือตัวจิต เห็นได้ชัดเจน จิตของเราเกิดยังไง จิตของเราหลงอะไร ทีนี้เราก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์อีก อะไรมันผิดพลาดก็รีบแก้ไขเสีย ผิดพลาดก็รีบแก้ไขเสีย บุคคลที่มีปัญญา รู้ฟังนิดเดียว อ่านนิดเดียว ขยันหมั่นเพียร ดูตัวเราเองแก้ไขตัวเราเอง ไม่เข้าข้างตัวเองอีกด้วย เอาความเป็นกลางเอาความว่างเป็นที่ตั้ง จะเอาจะมีก็เป็นเรื่องของปัญญาแล้วที่จะทำให้มีให้เกิดขึ้น พยายามนะไม่ว่าพระว่าโยมว่าชี
เมื่อ วานนี้ญาติโยมก็เยอะ (วันอาสาฬหบูชา) จนแน่นวัดเลย วิหารศาลา ก็แน่นทุกที่ เมื่อคืนนี้ก็เยอะ พากันมาเวียนเทียน ก็ยังเป็นอานิสงส์ เป็นอานุภาพแห่งบุญ แต่เราต้องพยายาม อย่ายึดติดแค่ว่ามาทำบุญ เราต้องพยายามทำใจของเราให้อยู่กับบุญจริงๆ ทำกายให้เป็นบุญ ทำใจทำวาจาให้เป็นบุญ จัดระบบระเบียบของความคิดของอารมณ์ของเราให้ได้เสียก่อน แต่ละวันแต่ละวัน ส่วนมากมาวัดแล้วก็ แต่ละนาที ห้านาที สิบนาที ยี่สิบนาที ใจส่งออกไปภายนอกสักกี่เรื่องก็ไม่รู้ เป็นกุศลหรือว่าเป็นอกุศลก็ยังไม่รู้ นอกจากจะนอนหลับ บางทีหลับไปเขาก็ฝัน ตื่นขึ้นมาก็ไปต่อ แต่ก็ไม่เหลือวิสัย ก็ต้องพยายามนะ พระเราก็มาอยู่ร่วมกันหลายองค์หลายท่าน ก็ให้มีความรัก ให้มีความสมัครสมานสามัคคี เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ เป็นคนที่มีขยัน บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น ถ้าบอกตัวเองไม่ได้ ใช้ตัวเองไม่เป็นละก็ อยู่คนเดียวก็หนัก อยู่หลายคนก็หนัก หนักหมู่หนักคณะ หนักเพื่อนหนักฝูง อยู่สถานที่ใดก็ไม่เจริญ ถ้าเรารู้จักวิเคราะห์ตัวเรา แก้ไขตัวเรา มีความรับผิดชอบ มีพรหมวิหาร มีความเมตตาที่สูง ไปอยู่ที่ไหนก็มีความสุข อยู่คนเดียวก็มีความสุข อยู่หลายคนก็มีความสุข ไปอยู่ที่ไหนก็มีตั้งแต่ประโยชน์ ประโยชน์ภายในเราทำให้เรียบร้อย ประโยชน์ภายนอกก็ยังสมมติให้เกิดประโยชน์ ไม่ว่าไปอยู่ในสภาวะอย่างไร เราต้องเป็นบุคคลที่เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา การได้ยินได้ฟังได้อ่าน ทุกคนมีกันเต็มเปี่ยม หนังสือหนังหาครูบาอาจารย์มีเกลื่อน เราต้องพยายามเจริญสติเข้าไปวิเคราะห์ตัวเรา หมั่นตรวจสอบเรา สตินี่แหละเป็นครูบาอาจารย์คอยตรวจสอบเรา คอยตรวจสอบจิตของเรา รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็เป็นอาจารย์คอยสอนธรรมะให้เรา ว่าจิตของเราจะเกิดกิเลสเกิดความยินดียินร้ายหรือไม่ อันนี้สำหรับสัมผัสสมมติภายนอก แต่ลึกลงไปในกลางใจของเรานั้น ใจของเราก่อตัวอาการยังไง อาการของใจเป็นยังไง ตรงนี้แหละสำคัญ ถ้าเราคลายตรงนี้ได้ก็คลายภายนอกได้ ก็วางอัตตาตัวตนทางด้านสมมติได้ กายก็จะเบา จิตก็จะว่าง โล่งโปร่ง เดินเหินเหมือนกับจะเหาะเลยทีเดียว ต้องพยายามกัน ทำได้มากได้น้อยก็ต้องพยายามศึกษาค้นคว้า พยายามหมั่นสร้างอานิสงส์ สร้างตบะบารมี จากน้อยๆไปหามากๆ สักวันหนึ่งก็คงจะเต็ม เต็มเปี่ยม เต็มรอบเองนะ
ฝน ก็เริ่มมาแล้ว ฝนฟ้าก็เริ่มตก เริ่มมา ก็คงจะไม่แล้งแล้วแหละ ฝนก็เริ่มทยอยเข้ามา ชาวไร่ชาวนาก็คงจะได้เริ่มทำไร่ทำนากัน โครงหลังคาองค์หลวงปู่ใหญ่ก็คงจะอีกไม่นาน อีกสักเดือนหนึ่งก็คงจะได้มุงหลังคา ต่อไปในวันข้างหน้าก็จะเป็นแหล่งบุญใหญ่ของสถานที่ ของทุกคน ได้มากราบมาไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล ของที่เป็นสิริมงคล หลวงพ่อได้อัญเชิญเข้ามาไว้ในสถานที่แห่งนี้หมดแล้ว แม้ตั้งแต่พระบรมสารีริกธาตุซึ่งอัญเชิญส่วนที่ท่านเสด็จมา ก็ได้มาประดิษฐาน ณ สถานที่แห่งนี้ พระพุทธรูปหยกใหญ่ที่เคยมีมาในประเทศของเรา ก็ได้อัญเชิญมาไว้ จัดสร้างขึ้นมาด้วยจิตศรัทธาของผู้ที่ใจบุญสุนทานได้สร้างได้ทำ เอาไว้ หลวงพ่อก็ได้พาจัดสร้างจัดทำ สิ่งที่เป็นสิริมงคลในระดับของสมมติ ในระดับของโลกียะ เอาไว้เกือบจะเต็มเปี่ยม ปีนี้คงจะบริบูรณ์หมดทุกสิ่งทุกอย่าง พระพุทธรูปหลายองค์ ปางลีลาองค์ใหญ่ สูงใหญ่ ลานกว้างขวาง กลางค่ำกลางคืนก็ออกมาเดินมานั่งได้สบาย องค์หลวงปู่ใหญ่ก็สวยงาม และศักดิ์สิทธิ์ด้วย ความศักดิ์สิทธิ์เกิดจากอำนาจแห่งบุญของทุกคน หล่อหลอมร่วมกันเข้ามา ตรงปางประสูติก็กำลังจะปูแกรนิต มุงหลังคาแดดร้อนๆก็เย็นสบาย ใครเข้ามาก็มีตั้งแต่ความร่มรื่นร่มเย็น มีความสุข นี่แหละบุญเกิดขึ้น เพียงแค่ได้เข้ามา ในวัด สบายตา สบายใจ จิตใจมีความอิ่ม มีความปีติ มีความสุข นั่นแหละบุญได้เกิดขึ้นแล้ว เราไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนหรอก เพียงแค่เดินก้าวเข้ามา อากาศร้อนๆก็เย็นชุ่มฉ่ำ จิตใจก็สบาย เข้ามาวัดก็เหมือนกับได้กลับมาบ้าน กลับมาบ้านเรือนของตัวเรา มีความสุข แล้วก็อยู่กับบุญ ก็ขอเชิญชวนนะ ญาติโยมทุกคนทุกท่านมีโอกาสก็มาร่วมกัน มาสร้างอานิสงส์ร่วมกัน สร้างบารมีร่วมกัน เสร็จแล้วก็ไม่ได้สร้าง โอกาสได้เปิดให้ สถานที่ได้เปิดให้ หลวงพ่อก็ขอขอบใจ ขอบคุณเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย เหล่าเทวดาทั้งหลายที่ได้มาช่วยกัน ไม่ได้ลำบากไม่อด ไม่อยาก ไม่ลำบาก ไม่มีคำว่าลำบาก ไม่มีคำว่าหมด เพราะว่าอะไร เพราะว่าเหล่ามนุษย์เหล่าเทวดาหลั่งไหลเข้ามา ตรงไหนเป็นแหล่งบุญแหล่งกุศลก็ย่อมจะหลั่งไหลเข้ามา หลวงพ่อก็ขอขอบคุณมากๆเลยทีเดียว ขอขอบคุณเทวดา ขอขอบคุณเหล่ามนุษย์ ที่ได้มาช่วยกัน ได้หลั่งไหลมาช่วยกัน และก็มาอนุโมทนาสาธุ อยู่ในกองบุญกองนี้ได้ตลอดเวลา ทุกคนด้วย ขอเจริญธรรมเพียงเท่านี้ พากันไหว้พระพร้อมๆกัน พากันไปสร้างสานต่อทำความเข้าใจนะ

thanks 4 : http://www.managerroom.com/forums/forum_posts.asp?TID=9703&PN=1

ไม่มีความคิดเห็น: